วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข้อคิดการทำบุญวันเกิด


ข้อคิดการทำบุญวันเกิด
การทำบุญวันเกิด
           อันประเพณีที่จะ ทำบุญวันเกิด ขึ้นนี้เนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทำเป็นตัวอย่างตั้งแต่ยังทรงผนวช ไม่ใช่ทำอย่างจีนหรือฝรั่ง ด้วยทรงพระราชดำริเห็นว่าการมีอายุยืนมาบรรจบรอบปีครั้งหนึ่งๆ ไม่ตายไปเสียก่อนเป็นลาภอันประเสริฐ ควรยินดี เมื่อรู้สึกยินดีก็ควรจะบำเพ็ญกุศล ที่เป็นประโยชน์แก่ตนและแก่ผู้อื่น ให้สมกับที่มีน้ำใจยินดี และไม่ประมาท เพราะไม่สามารถจะรู้ได้ว่าจะอยู่ไปบรรจบรอบปีเช่นนี้อีกหรือไม่ ถึงวันเกิดปีหนึ่งเป็นที่เตือนใจครั้งหนึ่ง ให้รู้สึกว่าอายุล่วงไปต่อความตายอีกก้าวหนึ่งชั้นหนึ่ง เมื่อรู้สึกเช่นนั้น จะได้บรรเทาความมัวเมาประมาทในชีวิตเสียได้ นี้เป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นสาเหตุให้มีการทำบุญวันเกิดขึ้นเรียกว่า เฉลิมพระชนมพรรษา
          การที่ทรงทำในครั้งนั้นปรากฏว่ามีการสวดมนต์เลี้ยงพระ ๑๐ รูป เป็นการน้อยๆ เงียบๆ ครั้นต่อมาก็มีเจ้านายขุนนางทำบุญวันเกิดกันชุกชุมขึ้น แต่การทำบุญเกี่ยวกับพระลดลง เป็นแค่ประชุมคนแสดงเกียรติยศให้ปรากฏว่ามีผู้นับถือมาก ตั้งโรงครัวเลี้ยงกันไปวันยังค่ำการมหรสพก็มีละครเป็นพื้น และนำของขวัญไปให้กันมีการเลี้ยงดูกันอย่างสนุกสนานให้ศีลให้พรกัน ถ้าเป็นวันเกิดเจ้านายขุนนางชั้นผู้ใหญ่ พระเจ้าแผ่นดินก็พระราชทานพระราชหัตถเลขาให้พรด้วย พระราชทานของขวัญด้วย สมัยนั้นการทำบุญถือเป็นเกียรติใหญ่ เมื่อถึงวันเกิดของใครก็อึงคะนึงเป็นการใหญ่ตั้งแต่เริ่มงานจนงานแล้ว และถือว่าถ้าไม่ไปช่วยงานวันเกิดกันแล้วเป็นไม่ดูผีกันทีเดียว 
          สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงผนวชเป็นสามเณรก็ทรงทำบุญวันพระราชสมภพ ตามอย่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วิธีทำก็มี สวดมนต์ เลี้ยงพระและแจกสลากสิ่งของต่างๆ แก่พระสงฆ์ ทรงทำตลอดมาจนกระทั่งเสวยราชย์และทำเป็นการใหญ่เช่น หล่อพระพุทธรูปอายุ เรียกว่า หล่อพระชนมพรรษาทั้งมีการตกแต่งตามชาลาพระบรมมหาราชวัง ให้เป็นการครึกครื้นสนุกสนาน ตามริมน้ำและตามถนนก็สว่างไสวไปด้วยแสงประทีปโคมชวาลา จึงได้เกิดมีการแต่งซุ้มไฟประกวดประขันกันขึ้นและมีเหรียญพระราชทานแก่ผู้แต่งซุ้มไฟเป็นรางวัล อนึ่งในวันนั้นได้มีผู้ไปลงนามถวายพระพร พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการอ่านคำถวายพระพรอันเป็นเครื่องหมายแสดงความจงรักภักดี จึงถือเป็นประเพณีเนื่องด้วยทำบุญวันเกิดมาจนปัจจุบันนี้
 วิธีปฏิบัติ ในการทำบุญวันเกิดอาจเลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างก็ได้ ดังนี้
๑.      ตักบาตรพระสงฆ์เท่าอายุหรือเกินอายุหรือกี่รูปก็ได้ตามสะดวก
๒.    บำเพ็ญกุศลอุทิศแก่บรรพบุรุษ ที่เรียกว่า ทักษิณานุประทานก่อนแล้วจึงบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันเกิด
๓.  ทำบุญ สวดมนต์ เลี้ยงพระ หรือมีพระธรรมเทศนาด้วย
๔.  ถวายสังฆทาน
๕.  ทำทานช่วยชีวิตสัตว์ เช่นปล่อยนก ปล่อยปลา ฯลฯ หรือส่งเงินไปบำรุงโรงพยาบาลหรือกิจกรรมด้านสังคมสงเคราะห์อื่นๆ
๖.   รักษาศีลหรือบำเพ็ญภาวนา  
๗.   กราบขอรับพรจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือผู้ที่ตนเคารพนับถือ
๘.    บำเพ็ญคุณประโยชน์อื่นๆ โดยมุ่งที่การให้ มากกว่า เป็นการรับ

อานิสงส์หรือผลดีของการทำบุญวันเกิด
          การทำบุญวันเกิด คือการปรารภวันเกิดและทำความดีในวันนั้นเป็นเหตุให้ได้รับผลดีหรืออานิสงส์ตอบแทน ดังมีพุทธภาษิตความว่า  ผู้ให้อาหาร ชื่อว่า ให้กำลัง ผู้ให้ผ้า ชื่อว่า ให้ผิวพรรณ ผู้ให้ยาน ชื่อว่า ให้ความสุข ผู้ให้ประทีป ชื่อว่า ให้ดวงตา” (พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๕ ข้อ ๑๓๘ หน้า ๔๔ ) และพระพุทธภาษิต ความว่า  ผู้ให้สิ่งที่น่าพอใจ ย่อมได้สิ่งที่น่าพอใจ ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศ ผู้ให้สิ่งประเสริฐ ย่อมได้สิ่งที่ประเสริฐ ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐสุด ย่อมได้สิ่งที่ประเสริฐสุด “ (พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๒ ข้อ ๔๔ หน้า ๖๖)

ข้อเสนอแนะในการทำบุญวันเกิด
๑. กิจกรรมในการทำบุญวันเกิดควรเน้นคุณค่าทางจิตใจมากกว่าวัตถุ เช่นทำจิตใจให้สงบแจ่มใสและทำบุญตามศรัทธา
๒.   ควรเป็นกิจกรรมที่มุ่งบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นหรือส่วนรวม เช่นการบริจาคทาน สมทบทุนเพื่อสาธารณประโยชน์ ใช้แรงงานของตนเองเพื่อส่วนรวม
๓.   ควรมุ่งเน้นให้เป็นการประหยัด จัดงานวันเกิดในวงครอบครัวไม่ควรจัดหรูหราฟุ่มเฟือย
๔.   ควรอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ไม่จำเป็นต้องจัดแบบต่างประเทศ เช่นตัดเค้กวันเกิดจุดเทียน หรือเป่าเทียน ร้องเพลงภาษาต่างประเทศอวยพรวันเกิด ฯลฯ
 ๕. ในกรณีที่ผู้น้อยไปรดน้ำอวยพรวันเกิดผู้ใหญ่ นิยมอ้างคุณพระศรีรัตนตรัยก่อนแล้วจึงมีคำอวยพร ส่วนของขวัญที่จะให้นั้น ควรทำด้วยน้ำพักน้ำแรงหรือของที่ประดิษฐ์ด้วยฝีมือตนเอง ถ้าเป็นดอกไม้ควรเป็นดอกไม้ที่ปลูกในประเทศไทย กรณีที่ผู้ใหญ่อวยพรวันเกิดผู้น้อย ผู้ใหญ่ควรกล่าวถ้อยคำอันเป็นมงคลแก่ผู้รับพร

ทำบุญอายุ
          การทำบุญอายุ มักนิยมทำกัน เมื่ออายุ ๒๕ ปี ซึ่งเรียกว่าเบญจเพสแผลงมาจาก ปัญจวีสะ คำว่าเบญจเพส ก็แปลว่า ๒๕ นั่นเอง ถือกันว่าตอนนี้เป็นตอนสำคัญ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะย่างขึ้นสู่สภาวะผู้ใหญ่ ตั้งตนให้เป็นหลักเป็นฐาน ถ้าดีก็ดีกันในตอนนี้ ถ้าเอาดีไม่ได้ก็อาจจะเสียคน ด้วยเหตุนี้จึงมีการทำบุญเมื่ออายุ ๒๕ ปีเพื่อส่งให้เจริญงอกงามต่อไป ต่อจากนั้นก็ทำเมื่ออายุ ๕๐ หรือ ๖๐ ปีอีกครั้งหนึ่ง เพราะถือกันว่าตอนนิอายุย่างเข้ากึ่งหนึ่งของศตวรรษแล้ว และเจริญมากถึงที่สุดแล้ว ต่อไปร่างกายก็มีแต่จะทรุดโทรมลงทุกวัน การทำบุญที่อายุปูนนี้จึงเป็นการทำโดยไม่ประมาท ร่างกายเสื่อมลงไปๆ จึงควรทำบุญไว้ เพื่อเป็นประกันในเมื่อจวนจะหมดลมจะได้นึกว่าทำดีไว้มากแล้ว ถึงตายก็ตายอย่างสงบ อนึ่งการทำบุญอายุนี้ บางทีทำกันเมื่อมีอายุครบ ๒ รอบ ๓ รอบ ๔ รอบ ไปจนถึง ๕ -๖ รอบฯลฯ รอบหนึ่งมี ๑๒ ปีถ้าบรรจบปีเกิดในรอบไหนก็ทำในรอบนั้น  วิธีปฏิบัติ อานิสงส์ผลดีหรือข้อเสนอแนะ เช่นเดียวกับการทำบุญวันเกิด

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

5 เมนูคอลลาเจน กินกระชากวัยผิว



      จนถึงเวลานี้แล้ว สาวๆ หลายคนคงถึงบางอ้อ ว่าคอลลาเจนในครีมบำรุงผิวหน้านั้นไม่มีจริง เพราะไม่มีครีมชนิดไหนที่ลงบำรุงลึกล้ำถึงชั้นหนังแท้ผ่านการทาได้
แต่ที่แน่ๆ ครีมบำรุงผิวที่อ้างว่ามีสารคอลลาเจนหรือเสริมสร้างอิลาสตินทั้งหลายนั้น มักมีสารเรตินอยด์ ที่ช่วยฟื้นฟูผิวได้จากภายนอก ผิวที่ดูสดใสขึ้นจึงดูเหมือนมีคอลลาเจนจริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว คอลลาเจนจะเสื่อมสภาพไปตามวัย การสร้างความแข็งแรงของผิวให้ตึงกระชับที่แท้จริงนั้น ก็คือการกิน การออกกำลัง และการพักผ่อนที่ดีต่างหาก
ว่าแล้วเรามาพกเมนูอาหารที่มีสารคอลลาเจนตามธรรมชาติ และทำงานเหมาะกับร่างกายไว้ทานในแต่ละวัน รับรองว่าถ้าทำควบคู่กันกับวิธีข้างต้น ผิวจะตึงแน่น กระชับ สดใส กระชากวัยไปได้หลายปี
ถั่วเหลือง มีสารกลุ่มไอโซฟลาโวนที่มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมฮอร์โมนเพศหญิง ทานแล้วผิวจึงสดใส เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล
ผักใบเขียวเข้ม นอกจากจะมีวิตามินซีสูงมากๆ ก็ยังช่วยส่งเสริมการนำโปรตีนมาบำรุงร่างกาย และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง พบมากในผักโขม คะน้า หน่อไม้ฝรั่ง ผักกาดหอม เป็นต้น
ผลไม้สีแดง แหล่งคอลลาเจนชั้นดี และมีสารไลโคปีนที่เด่นในเรื่องแอนติออกซิแดนท์ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคอลลาเจน ลองทานพริกไทยแดง หัวบีท มะเขือเทศ หรือลูกเบอรี่สายพันธุ์ต่างๆ ที่ดีทั้งนั้นต่อผิวสวยๆ 

กรดโอเมก้า เป็นอาหารที่ดีกับผิวจริงๆ เพราะผิวประกอบด้วยโปรตีนเฉกเช่นเดียวกับสารอาหารชนิดนี้ ที่เป็นแหล่งโปรตีนเข้มข้น หาทานได้จากปลาแซลมอน ปลาทูน่า ถั่วอัลมอนด์ และอะโวคาโด เป็นต้น
สารซัลเฟอร์ เป็นสารอาหารที่สำคัญมากต่อการเสริมสร้างคอลลาเจน พบในแครอตดิบ แคนตาลูปสด และผักขึ้นฉ่ายสด แตงกวาสด ที่มากด้วยวิตามินเอ ทำหน้าที่ในการรักษาพยุงระดับคอลลาเจนให้สูง เมื่อได้ดูแลส่วนอื่นๆ ประกอบกัน

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิธีทำลูกชุบ


ส่วนผสม
 1. ถั่วเขียวเลาะเปลือก 1/2 กก. 2. หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง 3. น้ำตาลทราย 1/2 กก. 4. วุ้นผง 5 ช้อนโต๊ะ 5. น้ำ 5 ถ้วยตวง
วัสดุที่ต้องใช้
1. กระทะทองเหลือง 2. ไม้พาย 3. ไม้เสียบลูกชิ้น หรือไม้จิ้มฟัน 4. สีผสมอาหาร 5. จานสี 6. พู่กัน
ลงมือเข้าครัว
1. เริ่มจากการล้างถั่วที่เลือกเอาเมล็ดเสียออกแล้วด้วยน้ำสะอาด 1 ครั้ง เทน้ำทิ้ง แช่ด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งประมาณ 3-4 ชั่วโมง เทน้ำทิ้งแล้วล้างอีกครั้ง
2. นำถั่วที่ล้างสะอาดแล้วไปนึ่งให้สุก จากนั้นนำไปบดให้ละเอียด
3. นำน้ำตาลและกะทิมาต้มด้วยไฟอ่อนให้ส่วนผสมเข้ากันดี ในขั้นตอนนี้ควรคนตลอดเวลาเพื่อไม่ให้กะทิเป็นลูก
4. นำถั่วที่บดจนละเอียดแล้วใส่ลงในกระทะทองเหลือง ตั้งไฟปานกลาง ค่อยๆทยอยใส่น้ำกะทิที่เคี่ยวได้ที่แล้วลงไปทีละน้อย เทไปกวนไปจนหมด ที่สำคัญต้องกวนไปในทางเดียวกัน จนถั่วเริ่มแห้ง ให้หรี่ไฟลง รอจนถั่วเริ่มแห้งและร่อนออกจากกระทะ จึงนำออกมานวดจนเนียน
5. ขั้นตอนต่อไปก็ขึ้นอยู่กับฝีมือการปั้นของแต่ละคน เมื่อปั้นได้รูปแล้ว ก็นำมาเสียบกับไม้จิ้มฟัน หรือไม้เสียบลูกชิ้น ระบายสีตามชอบ
6. ระบายสีเสร็จแล้ว ก็นำไม้ไปเสียบไว้ที่โฟม รอจนสีแห้ง
7. หัมาทำน้ำวุ้นกันบ้าง เริ่มจากนำวุ้นผงและน้ำใส่หม้อคนให้เข้ากัน ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง หมั่นคนจนวุ้นใส ยกลงทิ้งไว้สักครู่จะมีฟองลอยขึ้นมา ให้ใช้ช้อนตักฟองทิ้ง
8. นำถั่วที่ลงสีแล้วชุบกับวุ้น 1 ครั้ง ปักบนโฟม รอให้แห้ง แล้วจึงชุบครั้งที่ 2 และ 3 เมื่อวุ้นแข็งตัวดีแล้วจึงถอดออกจากไม้จิ้ม ใช้กรรไกรตัดส่วนที่ไม่ต้องการทิ้ง แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย


วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

น้ำเห็ด 3 อย่าง


น้ำเห็ด 3 อย่าง
เห็ดสามอย่าง คือ เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดขอน เมื่อนำเห็ดทั้ง 3 ชนิดมารวมกันแล้วประกอบอาหาร จะได้โปรตีนจากเห็ด ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ง่ายกว่าโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ โปรตีนจากเห็ดจะไปสร้างกรดอะมิโน ที่ช่วยบำรุงสมอง ปรับสมดุลของการสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย ต้านการเกิดมะเร็ง ขจัดสารพิษ
ส่วนผสม
  • เห็ดฟาง
  • เห็ดนางฟ้า
  • เห็ดขอน
  • มะตูมแห้ง
  • ใบเตย
** สามารถใช้เห็ดชนิดอื่นแทนได้ ใช้ได้ทั้งเห็ดสด และเห็ดแห้ง

วิธีทำ
  • นำเห็ดสดทั้ง 3 ชนิด ล้างให้สะอาด แล้วหั่น
  • ต้มเห็ดทั้ง 3 ชนิดรวมกับมะตูมแห้ง และใบเตย ใส่น้ำพอประมาณ รอจนเดือด
  • เมื่อเดือดแล้ว ตักเห็ดแยกออก แล้วนำน้ำที่ได้ไปกรองผ่านผ้าขาวบาง ก็จะได้น้ำต้มเห็ด 3 อย่าง ที่มีรสชาติหวานจากเห็ด และมีกลิ่นหอมจากมะตูม และใบเตย
  • ส่วนเห็ดที่แยกออกมานั้นสามารถนำไปประกอบอาหารได้ แต่ไม่ควรนำไปผัดกับน้ำมัน ควรใช้กะทิแทน เพราะกะทิเป็นไขมันที่ละลายได้ในน้ำ และมีคอเรสเตอรอลที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ประโยชน์และคุณค่าทางสมุนไพร
- ช่วยล้างสารพิษที่ตกค้างในตับ ช่วยบำรุงไต
-
ลดอนุมูลอิสระที่เกิดเป็นเซลล์มะเร็ง
-
สลายพังผืดในมดลูก
-
เพิ่มเม็ดเลือดขาว ลดไขมันในเส้นเลือด
-
เป็นอาหารบำรุงตับ ถ้าตับไม่แข็งแรงจะส่งผลให้ อารมณ์ไม่ดี ไทรอยอาจเป็นพิษ ตัวผอมและพุงป่อง เป็นต้น




วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ท่องเที่ยวเมืองลับแล


ขอเพียงสัจจะวาจา
แม่มายเมืองลับแล
หญิงที่ควรยกย่อง เชิดชูในคุณความดี
ยอมเสียสละความรักเพื่อธำรงจารีตประเพณี
ของการรักษาวาจาสัตย์ไว้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของชาวเมืองลับแลทุกคน
     เรื่องของเรื่องเมืองลับแล…เมืองลับแลนั้นเป็นอำเภอเล็กๆ  อำเภอหนึ่ง ที่อยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์  แต่เดิมนั้นคงเป็นเมืองที่ยากต่อการเดินทางไปถึง   ด้วยเส้นทางอันคดเคี้ยว  ทำให้คนที่ไม่ชำนาญทางพลัดหลงได้ง่าย  จึงเป็นที่มาของชื่อเมืองลับแล  ซึ่งหมายความว่า เมืองที่มองไม่เห็น 
     มีเรื่องเล่ากันมาช้านานว่า  กาลครั้งหนึ่งมีชาย (น่าจะเป็นคนเมืองทุ่งยั้ง…ปัจจุบันเป็นตำบลหนึ่งในอำเภอลับแล)  ได้เข้าไปในป่า  แล้วพบเห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมาจากบริเวณชายป่า นางเหล่านั้นได้นำใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่างๆ แล้วก็เข้าไปในเมือง  ซึ่งใบไม้นั้นเปรียบเสมือนกุญแจประตูสู่เมืองลับแล
     ด้วยความสงสัย  ชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ตนซ่อนไว้  เมื่อได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับกลับไป  แต่มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ของตนไม่พบ เพราะชายหนุ่มผู้นี้แอบหยิบมา   นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ  ขอติดตามนางกลับไปด้วย  เพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล… 
     หญิงสาวนางนั้นก็ยินยอม  นางได้พาชายหนุ่มเข้าไปยังเมืองลับแล  ซึ่งทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางได้อธิบายว่าคนในเมืองนี้ล้วนมีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชายส่วนมากมักไม่รักษาวาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด…จากนั้นนางได้พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง  ระหว่างนั้นชายหนุ่มเกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย  มารดาของหญิงสาวก็ยินยอม แต่ให้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ  ต่อมาชายหนุ่มจึงได้แต่งงานและอยู่กินกับนางผู้นี้ จนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน
     จวบจนมาถึงวันหนึ่ง  ขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อจำต้องเลี้ยงบุตรอยู่ที่บ้าน บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า "นั่น…แม่เจ้ามาแล้วๆ"  ทั้งที่แม่ของเด็กน้อยยังไม่มา  ในเวลานั้นมารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ  เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์  นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย…  
     แต่ด้วยความเป็นห่วง นางก็จัดหาย่ามใส่ของให้สามีพร้อมกำชับว่า “อย่าเปิดออกดูจนกว่าจะถึงบ้านเมืองของตน”  จากนั้นก็พาสามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้ แล้วนางก็กลับไปเลี้ยงดูบุตรเพียงลำพัง  ชายหนุ่มโศกเศร้าเสียใจ แต่ก็จำใจต้องเดินทางกลับบ้านเมืองของตนไปตามที่ภรรยาชี้ทางให้   
     ระหว่างทางที่เดินกลับนั้น เขามีความรู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้นเรื่อยๆ พรางสงสัยถึงของในย่ามที่ภรรยาให้มา  จึงตัดสินใจเปิดออกดูโดยลืมนึกถึงคำสั่งของภรรยา  เมื่อเปิดออกมาพบเห็นเป็นแง่งขมิ้นธรรมดา  จึงทิ้งเสียกลางทาง  แล้วนำติดตัวกลับไปเพียง 1 แง่ง เท่านั้น
     ครั้นเดินทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิม บรรดาญาติมิตรต่างก็ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานาน  ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียดรวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้  แต่เขาได้ทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้งแท่ง ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนกลับไปเพื่อค้นหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ 
     ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว และเมื่อขุดดูก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทอง แต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล แต่ก็หลงทางวกวนไปไม่ถูก  จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิม 
     จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พอจะอนุมานได้ว่าที่เมืองลับแล  แต่เดิมนั้นเคยเป็นเมืองใหญ่ เป็นชุมชนของพวกละว้าและขอม มีความเจริญรุ่งเรืองมาช้านาน  เพราะได้มีการขุดพบกลองมโหระทึก และพร้าสำริด ได้ในบริเวณดังกล่าว 
     ต่อมาเมื่ออาณาจักรขอมล่มสลายลง ชนกลุ่มแรกที่มาอยู่ในบริเวณเมืองลับแล นั้นอพยพมาจากอาณาจักรเชียงแสน (โยนกนาคพันธุ์)  โดยมาตั้งถิ่นฐานอยู่ทางด้านทิศเหนือของเมือง ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นป่าเขาสลับซับซ้อน มีบรรยากาศเยือกเย็นในยามพลบค่ำ  แม้ตะวันจะยังไม่ตกดินบริเวณนี้ก็จะมืดแล้ว เพราะมีดอยม่อนฤๅษีเป็นฉากกั้นแสงอาทิตย์  ป่านี้จึงได้ชื่อว่า "ป่าลับ แลง" (คำว่า “แลง” แปลว่า “เวลาเย็น”) ต่อมาเพี้ยนเป็น "ลับแล" ซึ่งกลายมาเป็นชื่ออำเภอลับแลในสมัยปัจจุบัน 
     ผู้คนที่อพยพมาจากอาณาจักรโยนกเชียงแสน อพยพหลบภัยสงครามเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณที่ราบเขาและตั้งชื่อ บ้านว่า "บ้านเชียงแสน"  เมื่อได้ทำมาหากินกันระยะหนึ่งคนกลุ่มนั้นได้ไปอัญเชิญเจ้าชายฟ้าฮ่า มกุมาร จากอาณาจักรโยนกเชียงแสน มาเป็นผู้นำของตนที่ป่าลับแล  โดยให้ชื่อว่าเมืองลับแล  
     ครั้นต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ในราว พ.ศ. 2444 พระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองอุตรดิตถ์ และได้เสด็จมาถึงเมืองลับแลในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2444 ได้โปรดให้ย้ายศาลากลางจังหวัดจากเมืองพิชัยมาตั้งที่บางโพ และยุบเมืองทุ่งยั้งมารวมกับเมืองลับแล และสถาปนาเมืองลับแลขึ้นเป็นอำเภอ   
     ต่อมาในปีเดียวกันนี้  พระพิศาลคีรี ได้ย้ายอาคารที่ทำการไปตั้งที่ม่อนจำศีล (ห่างจากที่ว่า การ อำเภอปัจจุบันไปทางทิศเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร) ครั้นถึง พ.ศ. 2457 สมัยพระศรีพนมมาศ (เมื่อ ครั้งเป็นหลวงศรีพนมมาศ) เห็นว่าห่างไกลจากตัวเมืองลำบากแก่ราษฎรไปติดต่อ  ประกอบกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์จะสงวนที่ม่อนจำศีล เป็นที่ประดิษฐานพระเหลือ (พระพุทธรูปที่สร้างจากทองที่เหลือจากการหล่อพระพุทธชินราชที่จังหวัดพิษณุโลก) เพราะทรงเห็นว่าทิวทัศน์ของม่อนจำศีลคล้ายกับเมืองชวา  จึงได้ย้ายอาคารที่ทำการจากม่อนจำศีล มาอยู่ที่ ม่อนสยามินทร์ (ชาว บ้านเรียกม่อนสามินทร์) เพราะเคยเป็นที่ตั้งพลับพลารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอในปัจจุบัน
     ปัจจุบันอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นอำเภอที่มีความน่าสนใจ เหมาะสำหรับการเดินทางไปท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และเกษตรกรรม  วัดวาอารามในอำเภอลับแล อาทิ วัดบรมธาตุทุ่งยั้ง ได้มีการจัดงานประเพรีอัฐมีบูชา หรือ ประเพณีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้าจำลอง ขึ้นทุกปี ในช่วงวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่มีความเก่าแก่ และหาชมได้ยากในปัจจุบัน  ชาวอำเภอลับแล และหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ได้ให้ความสำคัญกับประเพณีอันดีงามนี้ โดยจัดให้เป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของจังหวัดอุตรดิตถ์สืบต่อกันมาทุกปี
     นอกจากนี้ ด้วยสภาพภูมิประเทศอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ไม่มีที่ใดเสมอเหมือน ทำให้ชาวบ้านในอำเภอลับแล สามารถผลิตผลไม้ประเภททุเรียนพันธุ์หลงลับแล และ หลินลับแล ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ ที่ปลูกได้ในพื้นที่อำเภอลับแลเท่านั้น  มีรสชาติอร่อย ราคาแพง แต่สามารถหาซื้อรับประทานได้  โดยทุเรียนพันธุ์หลงลับแล และ หลินลับแล นั้นจะออกในช่วงเดือนมิถุนายน และ กรกฎาคม   
     หากนักท่องเที่ยวมีความสนใจ ทางอำเภอลับแลได้จัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ชมสวนทุเรียน และโบราณสถานต่างๆ ในอำเภอลับแล ไว้คอยบริการ นักท่องเที่ยวจะได้ชมวิถีชีวิตของชาวสวนทุเรียน ซึ่งมีการเก็บเกี่ยว การขนส่งทุเรียนจากต้นข้ามภูเขา โดยการใช้รอกลวดสลิง  และการขับขี่รถจักรยานยนต์บรรทุกทุเรียนลงมาจากภูเขาด้วยความชำนาญ  นอกจากทุเรียนแล้ว ก็ยังมีผลไม้อื่นอีก เช่น ลางสาด , ลางกอง (สายพันธุ์ผสมกับ ลางสาด) นับได้ว่า หากมาเที่ยวเมืองลับแล้ว คงต้องใช้เวลา 2 – 3 วัน จึงจะเดินทางท่องเที่ยวชมวิถีชีวิต ซึมซับประสบการณ์ใหม่ของชาวอุตรดิตถ์ ได้อย่างครบถ้วน